ผลงานการฝึกสอน ของ เพีย ซุนด์ฮาแก

ก่อนร่วมกับทีมชาติสหรัฐ

ซุนด์ฮาแกได้เริ่มต้นการสอนในฐานะผู้เล่น/ผู้จัดการเมื่อเธออยู่กับทีมฮัมมาร์บี อีเอฟ เดย์เอฟเอฟ ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 ถึง 1994 จากนั้น เธอก็ทำงานเป็นผู้ช่วยร่วมกับทีมวัลเลนทูนา เบย์โคว (ค.ศ. 1998 ถึง 1999) และทีมอออีโคว ฟุตบอลดาม (ค.ศ. 2000) ก่อนที่จะเดินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อเป็นผู้ช่วยร่วมกับทีมฟิลาเดลเฟียชาร์จของสมาคมฟุตบอลหญิงแห่งสหรัฐแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา แล้วในที่สุด เธอก็ได้รับการว่าจ้างจากบอสตันเบรกเกอร์สในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอน จากการชนะรายการลีก ส่งผลให้เธอได้รับเลือกเป็นผู้ฝึกสอนแห่งปี ค.ศ. 2003 ของสมาคม อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อทางสมาคมได้ปิดตัว เธอก็กลับไปสแกนดิเนเวียเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนต่อ

ทั้งนี้ เธอมีความเกี่ยวดองกับคริสติน ลิลลี กัปตันทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐ และเคท มาร์กกราฟ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีม โดยทั้งสองต่างย้ายจากทีมบอสตันเบรกเกอร์ส มาร่วมการแข่งในลีกดามัลสเวนกันของประเทศสวีเดนเมื่อเพียทำหน้าที่ฝึกสอนให้แก่ทีมโควอีเอฟ เออเรบรู เดย์เอฟเอฟ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ถึง 2006 หลังจากทำหน้าที่ช่วงสั้น ๆ ร่วมกับทีมโคลบอตน์ฟุตบอลในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งลิลลีกล่าวว่า "อยากจะเล่นให้กับเพียอีกครั้ง"

ซุนด์ฮาแกทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยมารีกา โดมันสกี-ลีฟอร์ส ให้แก่ฟุตบอลหญิงทีมชาติจีนในช่วงฟุตบอลโลกหญิง 2007

ผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐ

เพีย ซุนด์ฮาแก ได้รับการประกาศให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ส่งผลให้เธอเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนที่เจ็ดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติสหรัฐและนับเป็นผู้หญิงรายที่สามผู้ทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งลอเรน เกร็ก อยู่ในตำแหน่งนี้ 3 เกมในปี ค.ศ. 2000 ตามด้วยเอพริล ไฮน์ริช ที่นำทีมตั้งแต่ ค.ศ. 2000–2004 และชนะเลิศในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ในขณะที่ซุนด์ฮาแกทำหน้าที่เป็นแมวมองสำหรับทีมชาติสหรัฐในช่วงโอลิมปิกฤดูร้อน 2004

ฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012

ในขณะที่อยู่ร่วมกับทีมชาติสหรัฐ ซุนด์ฮาแกพาทีมครองแชมป์อัลการ์ฟคัพ 2008 ตลอดจนได้รางวัลเหรียญทอง ทั้งโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ทีมของเธอเกือบครองแชมป์อัลการ์ฟคัพ 2009 ซึ่งทีมชาติสหรัฐเป็นฝ่ายแพ้ทีมชาติสวีเดนบ้านเกิดของซุนด์ฮาแกในการยิงลูกโทษ อย่างไรก็ตาม ในปีต่อมา ทีมของเธอก็ครองแชมป์อัลการ์ฟคัพ 2010 โดยชนะทีมชาติเยอรมนีซึ่งเป็นแชมป์โลกและแชมป์ยุโรปในช่วงนั้น ด้วยผล 3 ประตูต่อ 2 ในรอบชิงชนะเลิศ

เธอเป็นผู้ฝึกสอนทีมหญิงจนถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกหญิง 2011 ซึ่งทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็ผิดหวังจากการแพ้ทีมชาติญี่ปุ่น ด้วยผล 3 ประตูต่อ 1 ของการยิงลูกโทษ หนึ่งปีต่อมา ซุนด์ฮาแกได้พาฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐเข้ารับรางวัลเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ที่กรุงลอนดอน โดยเป็นฝ่ายชนะทีมชาติญี่ปุ่น 2 ประตูต่อ 1 ในรอบชิงชนะเลิศ ร่วมกับคาร์ลี ลอยด์ ที่ทำได้ทั้งสองประตู

เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2012 ซุนด์ฮาแกประกาศว่าเธอกำลังก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐ โดยแสดงความปรารถนาที่จะแสวงหาโอกาสในประเทศสวีเดนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ ซุนด์ฮาแกประกาศว่าเธอจะเป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติสหรัฐจนถึงวันที่ 16 ถึง 19 กันยายนสำหรับทัวร์ชัยชนะโอลิมปิกของทีมก่อนที่จะลาออกอย่างเป็นทางการ "ฉันมีหลายวันที่ฉันคิด 'ฉันกำลังทำอะไร ?' และมีวันอื่น ๆ ที่ฉันเป็นแบบนี้ 'สำหรับความท้าทายครั้งต่อไป'" ซุนด์ฮาแกกล่าวเมื่อประกาศแยกจากทีมชาติหญิงสหรัฐของเธอ[2] เธอเป็นผู้ฝึกสอนครั้งสุดท้ายเมื่อครั้งที่พบกับทีมชาติออสเตรเลียในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทัวร์ชัยชนะโอลิมปิกเมื่อวันที่ 19 กันยายน โดยทีมของเธอเป็นฝ่ายชนะ 6 ประตูต่อ 2 ด้วยชัยชนะครั้งสุดท้ายนี้ ซุนด์ฮาแกก็ออกจากทีมด้วยสถิติ ชนะ 91 แพ้ 6 เสมอ 10 ซึ่งรวมถึงเหรียญทองโอลิมปิก 2 เหรียญและได้อันดับสองฟุตบอลโลกหญิง 2011 [3]

ผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติสวีเดน

สมาคมฟุตบอลสวีเดนประกาศในช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 ว่า ซุนด์ฮาแกได้ลงนามในสัญญาสี่ปีซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ธันวาคม การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นชั่วโมงหลังจากการแข่งขันทีมหญิงสหรัฐของซุนด์ฮาแกในฐานะผู้ฝึกสอน ที่ชนะ 8 ประตูต่อ 0 ในนัดกระชับมิตรกับทีมชาติคอสตาริกาครั้งแรกของรายการที่จัดขึ้นเพื่อฉลองการชนะรางวัลเหรียญทองจากกีฬาฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 โดยซุนด์ฮาแกได้รับช่วงแทนโธมัส เดนเนอร์บี ที่ลาออกหลังจากทีมชาติสวีเดนล้มเหลวในการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในโอลิมปิก 2012 [4] "ฉันฝันมานานในการเป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติสวีเดนและตอนนี้ฉันมีความสุขมาก" ซุนด์ฮาแกกล่าว[5] การแข่งขันครั้งสำคัญครั้งแรกสำหรับซุนด์ฮาแกในฐานะผู้ฝึกสอนของทีมชาติสวีเดน คือการแข่งฟุตบอลหญิงชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2013 ที่ประเทศสวีเดนเป็นเจ้าภาพ[6] ซึ่งทีมชาติสวีเดนแพ้ 0 ประตูต่อ 1 ในรอบรองชนะเลิศกับทีมชาติเยอรมนี ที่เป็นแชมป์การแข่งครั้งนี้

ใกล้เคียง

เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ เพียเมืองแพน เพียร์ซ บรอสแนน เพียเจต์ เพีย ซุนด์ฮาแก เพียงพอน เพียวร์เฮโรอิน เพียงเธอ..รักนี้ดีสุดแล้ว เพียร เวชบุล เพียร์ส เกฟสตัน เอิร์ลแห่งคอร์นวอลล์ที่ 1

แหล่งที่มา

WikiPedia: เพีย ซุนด์ฮาแก http://www.afterellen.com/blog/drummerdeeds/head-c... http://www.fifa.com/worldfootball/statisticsandrec... http://www.foxnews.com/sports/2012/08/23/sweden-wo... http://soccernet.espn.go.com/news/story/_/id/11485... http://www.ussoccer.com/News/Womens-National-Team/... http://www.ussoccer.com/teams/team-staff/pia-sundh... http://svenskfotboll.se/ImageVault/Images/id_69553... http://svenskfotboll.se/landslag/damer/forbundskap... https://sports.yahoo.com/news/sundhage-appointed-s... https://sports.yahoo.com/news/sundhage-sweden-coac...